Quantcast
Channel: บ้านสวนพอเพียง - เศรษฐกิจพอเพียง
Viewing all 228 articles
Browse latest View live

สวนผสม

$
0
0
หมวดหมู่ของบล็อก: 

4/8/2016

ที่ดินประมาณ 5 ไร่ที่จะทำสวน พอได้เริ่มลงมือทำ มันเยอะเหมือนกันค่ะ ไม่รู้จะปลูอะไรตรงไหน ขนาดว่าเราเครียมแปลงไว้ 2 ไร่เองค่ะ

 

กล้วยเพิ่งปลูกไป 20 กว่าต้น รวมๆกัน มีกล้วยหอม กล้วยไข่ กล้วยน้ำหว้า ได้หน่อพันธุ์จาก แม่บ้าง พี่สาวบ้าง ไม่ต้องซื้อ

 

มะม่วงซื้อมา ส่วนไผ่แม่ให้มาค่ะ

มะนาว 1แปลง

เตรียมขุดหลุมปลูกกล้วยต่อ 1 แปลงค่ะ

 

ด้านหน้าสวน

ส่วนที่เราไม่ได้ไถ่ทำแปลง เราปลูกมะม่วงค่ะ กล้วย ลำไย รวมกันไปค่ะ หญ็ารกไหมค่ะ

 

ขุดหลุมเตรียมปลูกข่าค่ะ 2 แปลง

เหนื่อยค่ะแต่มีความสุข ทำไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็พัก ของเราเองไม่ต้องรีบ ไม่จำกัดเวลา มีงานไห้ทำมากมายในสวน แต่รายได้ยังไม่มีนะค่ะ คิดว่าปลูกเอาไว้กินตอนแก่ พ่อบ้านอายุ 40 ปีแล้ว แก่กว่านี้ก็กลัวจะทำไม่ไหวค่ะ บล๊อกนี้เอาไว้แค่นี้ก่อนค่ะ โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ

ปล. เขียนบรรยายภาพไม่ค่อยเก่งค่ะ

 

 

 


อยากทำเกษตรผสมผสานบนที่นา 4 ไร่ จะจัดการยังไงดี...ขอคำแนะนำค่ะ

$
0
0
หมวดหมู่ของบล็อก: 

ได้รับอนุเคราะห์ ที่นา 4 ไร่ จากคุณแม่สามี และได้รับอนุมัติว่าอยากทำอะไรก็ทำ...เข้าทางค่ะ เพราะอยากทำมานาน เลยเริ่มต้องคิดวางแผน...ใจอยากจะทำเกษตรแบบผสมผสาน ตามแนวเกษตรทฤษฎีใหม่ ค่ะ  ที่คิด ๆ ไว้แบ่งพื้นที่ ดังนี้ 

2 ไร่ ทำนา ไว้ปลูกข้าวกิน  

1 ไร่ ขุดบ่อรองรับน้ำฝน 

1 ไร่ สร้างบ้าน โรงเรือน คอกสัตว์ ปลูกต้นไม้ ไม้ผล ไม้ดอกไม้ประดับ และพืชผัก

คิดได้แค่นี้ค่ะ...นอกจากการขุดดินขึ้นมาถมเตรียมพื้นที่สร้างบ้าน โรงเรือนแล้ว เรื่องอื่นยังคิดไม่ออก...จะไปยังไงต่อ จะวางแผนผัง แบ่งพื้นที่ยังไง   บริหารจัดการพื้นที่ยังไงให้เกิดประโยชน์สูงสุด (ที่นาอยู่สิงห์บุรี)  จะขุดหนองน้ำด้านไหน ตรงไหน ของแปลง  เพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งาน ...อะไรยังไงบ้าง  นึกไม่ออกค่ะ 

อคำแนะนำด้วยค่ะ ขอฟังประสบการณ์จากพี่ๆด้วยค่ะ  

เกษตรเพื่อชีวิต

เกษตรเพื่อชีวิต

โครงการพอเพียง3

$
0
0
หมวดหมู่ของบล็อก: 

สวัสดีค่ะพี่น้องบ้านสวนทุกท่าน ได้เวลามาอัพเดทความคืบหน้าเสียที จากเวลาเดือนกว่าๆที่ได้ปลูกพืชผักสวนครัวไว้กินเอง ช่วงนี้ไม่ค่อยได้มีเวลาดูแลสักเท่าไหร่ เนื่องจากมีภาระกิจทำร้านค้าเล็กๆหน้าบ้านไว้ให้น้องขายน้ำ ขนม และเผื่อแม่มีผลไม้ตามฤดูกาลเอามาวาง และเตรียมวางแผงไข่ไก่รุ่นที่2 อีก50ตัว รูปแบบร้านกึ่งๆร้านกาแฟ ออกแบบตามใจกะตามงบตัวเอง ยังไม่เรียบร้อยดี ช่วงนี้ฝนขาดช่วง น้ำยังไม่เข้าบ่อสักเท่าไหร่ น้ำปะปาหมู่บ้านไม่ไหล ยังไม่สามารถลงต้นไม้ได้มากนัก ระบบน้ำหยดจึงพักไปก่อน รออีกนิดนะเจ้าผักน้อย อดทนกันไว้ก่อน ฝากน้องชายรดน้ำให้น่าจะพอรอดได้

ไปชมรูปกันดีกว่า

Image

โครงการพอเพียง3.1

$
0
0
หมวดหมู่ของบล็อก: 

หลังจากมาอัพบล็อก เมื่อคราวก่อนรูพภาพเอียงไปตามๆกัน วันนี้มาขอแก้ตัว เอาภาพมาโชว์เพิ่มเติม ว่ามีอะไรเติบโตกันไปบ้าง ช่วงนี้ขาดน้ำจริงๆเลย ฝนยังไม่มาค่ะ และตอนนี้ได้ดูแลลูกไก่ 50 ตัว เป็นรุ่นที่3 รุ่นนี้คุยกะแม่กันไว้ว่าจะไม่ให้ป่วยเลย ประคบประหงมมาก นอนกางมุ้งกันเลย

 ประมาณว่ายุงไม่ให้ไต่ ไร ไม่ให้ตอม สืบเนื่องจากมีรุ่น ที่ 2 ก่อนหน้าของน้า 40 ตัว ของเรา 10 ตัว ช่วยน้าเลี้ยงไว้1 เดือนก่อนส่งให้ บังเอิญเป็นช่วงหน้าร้อนจัด เมษา ที่ผ่านมาคงจำกันได้ เราก็เลยฉีดน้ำรอบๆให้อากาศไม่อบอ้าว ปรากฏว่าคงโดนละอองน้ำเราเข้าไป เป็นหวัด เป็นโรค งอมแงม รักษากันไปหลายรอบจาก10 ตัวเหลือ 7 ตัว ซึ่งตอนนี้เริ่มไข่แล้ว และนี่คือรุ่นที่3 50 ตัวนี้ จึงดูแลกันอย่างดี

Image

เอามาได้ 3 วัน นอนในมุ้ง

Image

Image

ตอนนี้ประมาณ 3 อาทิตย์ 

Image

ถั่วพู ปลูกเป็นแถว หอยทากกิน เหลือ 3 ต้น

Image

ถั่วฝักยาว ที่ทดลองฉีดน้ำส้มควันไม้ เข้มไปหน่อย ใบใหม่เป็นจุดๆ

Image

ต้นนี้ไม่แน่ใจว่า ถั่วดาวอินคา หรือฟักข้าว หอยทากกินไปครึ่งใบ Image

มะนาว น่าจะแป้นพวง แคงเกอร์กิน กำลังคิดว่าไม่ได้คลุมโคนต้นเลย พลาดไปได้งัย จะอยู่รอดอีกสองอาทิตยมั้ยไปดูแล

ดูรกๆจัง 555

Image

ฝรั่งคุณแม่1มาปลูกไว้ให้ บอกว่าเป็นกิมจู ปลูกมาสองปีแระต้นแค่นี้ เจอดินลูกรังข้างล่าง เพิ่งจะได้มาใส่ปุ๋ย

รอดูว่าลูกจะออกมาเป็นกิมจูหรือไม่555

ImageImage

Image

ไก่ไข่รุ่นแรก ได้ไข่ ได้ขี้ไก่มากจริงๆใส่อ้อยImage

ฝากรูปไว้แค่นี้ก่อน ยังไม่ได้ปลูกอะไรเพิ่ม รอฝนลงบ่อ อย่างเดียว ช่วงนี้ทำร้านเตรียมร้าน อาจจะวุ่นๆแล้วจะมาแจ้งความคืบหน้ากันต่อไป 

ขอบคุณกำลังใจจากทุกๆคนมากค่ะ ^^

โครงการพอเพียง3.2

$
0
0
หมวดหมู่ของบล็อก: 

สวัสดีค่ะ พี่น้อง สมช ทุกท่าน ห่างหายไปเกือบเดือน ช่วงเวลาก็เหมือนไม่นานเท่าไหร่ มองย้อนไป โห เราทำกิจกรรมอะไรไปได้งานอยู่มิใช่น้อย ช่วงนี้ อ่าน ดู ฟังมาก ได้ข้อคิดอะไรหลายๆอย่าง เช่น รายการหอมแผ่นดิน  ประสบการณ์ของพี่น้องบ้านสวนแห่งนี้ มีตัวอย่างมากมายของคนที่เคยล้มเหลว กับชีวิต หันมาใช้แนวเศรษฐกิจ พอเพียง พึ่งตนเอง เลี้ยงตัวเองได้ ใช้หนี้ได้ เกิดปัญญา พิจารณา ว่าเราควรจะตั้งเป้าหมายให้ตัวเองจริงจังสักที วาเราต้องการอะไรสิ่งที่ได้หลักๆสำหรับ ตัวเองคือ คิดแล้วหาข้อดี ข้อเสียไตร่ตรอง เหมาะกับตัวเองมั้ย มีความสุขใจมั้ยที่จะทำ คุ้มค่า หลังได้ข้อสรุปแล้ว จากนั้น ก็ ททท  ทำ ทันที ทำอะไรบ้าง

 ร้านน้ำปั่น 

ให้น้องมีรายได้ของเค้าเอง เค้ามีความชอบแนวนี้ ก็ให้ทำในสิ่งที่เค้าจะต่อยอดได้ ให้มีช่องทางรายได้ในแบบของเค้า ตอนนี้เปิดแล้วก็เริ่มมีลูกค้าน่าจะไปได้ด้วยดี แต่เราก็สามารถจัดโซน ทำชั้นวาง พืชผัก ผลไม้ได้ต่อไปได้อีก ไม่เสียแรงที่ลงทุนในขณะที่ยังพอมีกำลังไหว 

จากนี้ไปเริ่มกิจกรรมของตัวเอง งานที่เราชอบ ทำสิ่งที่รักยิ่งทำยิ่งไม่เบื่อ ยิ่งทำยิ่งพัฒนา ทำแล้วมีรายได้ ทำแล้วเหมือนไม่ได้ทำงานมันสนุก และมีความสุข เพิ่งค้นพบตัวเองว่าเราชอบเลี้ยงสัตว์ เลี้ยงปลา เลี้ยงหมา เลี้ยงนก อยู่ที่ไหน ก้จะต้องมีสัตวเลี้ยงเรื่อยไป แต่ ไม่เคยทำเงินได้เรย555 จนกะทั่งไปอ่านเจอการเลี้ยงไก่ไข่อินทรีย์ เลี้ยงแบบปล่อย มีไข่กิน มีขาย อายุยืนนาน5 ปีขึ้นไปยังให้ไข่ดีอยู่ และเราก็ไม่ชอบที่จะปลดระวางเข้าโรงเชือดแบบที่เลี้ยงกรงตับ  แม่ก้อคิดเหมือนกัน ก็เริ่มมาลองเลี้ยงน้อยๆดู ไว้กินไข่ซึ่งก้อได้ผลเป็นไปตามวัตถุประสงค์ จากรุ่นที่ 1  2  3 เนื่องจากมีลูกค้าอยากจะกินไข่ที่บ้านมากขึ้น ร้านค้าหลายร้านก็อยากจะได้ ไม่มีไข่ขายให้เนื่องจากมีไก่น้อยเกินไป

จึงนำมาสู่เจี้ยบน้อยรุ่นที่3  50 ตัวตอนนี้อายุ 2 เดือนแล้วต้องขยับขยายกรง ออกไปให้เต็มพื้นที่โรงเรือนกันแล้ว

จากจุดเริ่มต้นวันนั้น เหมือนมองเห็นช่องทางออกของชีวิต ไก่ 1 ตัว ให้ไข่มากมายหลายปี เกินราคาค่าตัวหากเราดูแลดี  ค่าอาหาร เรามีกล้วยที่ช่วยลดต้นทุนได้ ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ไว้ได้ทั้งปี การตลาด มองเห็นไม่ยากเรย ที่ที่บ้านกว้างพอให้ไก่ได้มากมาย อยากกลับบ้าน อยากมีรายได้ทดแทน ก็ไข่ไก่นี่งัย ที่ทุกครัวเรือนต้องกิน สมัยนี้คนมีความรู้มากขึ้นเรื่องการกินที่ปลอดภัย อยู่บ้านทำอะไรได้ตั้งเยอะ ไม่เสียสุุขภาพจิต วางแผน ปลูกล้วย มะละกอ ปลูกไผ่ ปลูกผัก ทำปุ๋ย ปลูกต้นไม้ ขี้ไก่บำรุงอ้อย พืชผักได้อีกตอนนี้มีอ้อยของตัวเองอยู่ 9 ไร่  คิดแล้ว พิจารณาแล้ว โรงเรือนยังมีพื้นที่ว่างอยู่มาก เนื่องจากน้องชายทำไว้กว้างขวางเพิ่งจะมีไก่50 ตัว อย่ากะนั้นเรย ททท ทำ ทัน ที สั่งเจี้ยบน้อย อีก 150 ตัว ไม่กี่วันร้านแจ้งว่ามีไก่ พี่มารับได้ จะเอาเรยมั้ย  ช่วงนี้ไก่แพงขึ้น ไม่ค่อยมี เอาก็เอา ททท กลับมาทำคอกกันแทบมิทันเรยทีเดียว เนื่องจากโรงเรือน มีแค่หลังคากับเสา รีบจัดการหาตาข่ายมาล้อม ทำเล้านอน ได้ทันเวลาเป็นวันหยุดที่แทบไม่ได้นั่งเรยทีเดียว ดีนะน้องชายช่วย 

เจี้ยบน้องแข็งแรงดี ได้แถมมา 3 ตัว

 

หลักการเหมือนเดิม ไม่เคยใช้ไฟกก ทำที่นอนให้ ล้อมมุ้งกันลม กันยุง คุณแม่ให้น้ำ อาหาร ยังไม่ยุ่งยากอาทิตย์นี้ ครบกำหนดวัคซีนเจี้ยบน้อย150 ตัว กะวัคซีน ฝีดาษ 50 ตัว งัยก็ต้องให้ไว้ครบเป็นการดี ช่วงนี้หน้าฝน รอให้โต แข็งแรง แล้วมาขุนอินทรีย์กันต่อไป

มาดูพืชผักที่ปลูกไว้กินกันบ้างถั่วครก พันไปบนยอดไม้ 555 เก็บกินแทบไม่ได้ ถั่วพลู ไม่ค่อยโต เท่าไหร่ รอดจากหอยทาก

หญ้า ก็ยังดูสวยงามกว่ามะนาว 555 เนื่องจาก ยังไม่มีเวลามาดูพืชผักตัวเองเท่าไหร่ มัวแต่ยุ่งกะร้านกะไก่ 

ช่วงนี้ช่วงนี้เป็นช่วงตัดสินใจ ช่วงทำอะไรใหม่ๆ ให้กับชีวิต กับที่ทางของพ่อแม่ เป็นช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงของบ้าน เป็นช่วงดื้อ 555 หากพอจะเข้าที่เข้าทางแล้วยินดีแบ่งปัน และรับข้อเสนอแนะ ของพี่ๆเพื่อนสมช ทุกท่านค่ะ มาอัพเดท กันเป็นระยะๆก็ทำให้บ้านนี้ดูอบอุ่น คึกคัก

 

ขอบคุณ พื้นที่บ้านสวน พี่ๆน้องๆ ทุกท่านที่ให้กำลังใจทุกคนเรยค่ะ 

 

 

ข้าวนาโยน

$
0
0
หมวดหมู่ของบล็อก: 

สวัสดีเพื่อนสมาชิกทุกท่านนะคะ ดีจังหายหน้าไปนานด้วยภาระกิจที่รัดตัว  ตามที่สัญญาไว้ว่าจะมาอัพเดทเรื่องข้าวนาโยน วันนี้มาทำตามสัญญาแล้วนะคะ

ในบรรยากาศที่พวกเราเศร้าโศกเพราะสูญเสียในหลวงผู้เป็นที่รักและเคารพยิ่ง สิ่งที่เราทำได้คือสานต่อปณิธานและดำเนินตามรอยเท้าของท่าน แม้ท่านจะจากไปแต่ความดีที่ท่านทำต่อพวกเรานั้นไม่ได้จากไปไหน ดีจังขอเป็นอีกหนึ่งคนเล็กๆ ที่จะก้าวย่างไปบนหนทางของเกษตรทฤษฎีใหม่ มิใช่เพียงเพื่อตนเองเท่านั้น คาดหวังไว้ว่าจะสามารถนำพาคนอื่น อาจไม่มากมาย แต่เป็นทุกคนที่มือเราเอื้อมคว้าถึง ให้เขาได้ก้าวเดินไปบนเส้นทางนั้นด้วยกันในสักวันหนึ่ง

 

1.นี้คือภาพที่เราโยนข้าวเสร็จแล้ว สภาพข้าวก็จะล้มๆ แบบนี้นะคะ

2.จากนั้นก็โทรศัพท์ถามแม่ทุกวันว่าข้าวตั้งต้นหรือยัง ผ่านไป 3 วันแม่ก็บอกว่ายังไม่ตั้ง วันที่ 5 เริ่มได้รับข่าวดีว่าข้าวกำลังต้น และวันที่ 7 คือวันที่ได้ไปไร่และฝนตกหนักมาก มือถือก็ตกน้ำ ภาพที่ถ่ายออกมาบางช่วงจึงเบลอเพราะฝ้าจับกล้อง  แต่โชคยังดีที่น้ำเข้าบางส่วนแต่ยังใช้การต่อได้

3.วันนี้มันเป็นความลุ้นระทึกว่าฝนที่ตกมาอย่างไม่ขาดสาย จะทำให้น้ำท่วมข้าวหรือไม่  และคำตอบคือ น้ำมันท่วมเรียบร้อยเลยค่ะ คันนาเกือบขาด ดีที่ว่ามันแค่เกือบ เพราะพ่อแม่ พยายามช่วยระบายน้ำให้มันผ่านทางหลักไป และยอมปล่อยบางส่วนให้เข้ามาในนา คันนาไม่ขาด น้ำท่วมข้าว แต่ระบายออกทีหลังได้

4.น้ำท่วมขังอยู่ประมาณ 1 สัปดาห์ ข้าวบางส่วนที่อยู่ในที่ลุ่มตายไป 30% ตรงที่อยู่ที่ดอนรอด เนื่องจากข้าวตั้งตัวได้บางส่วนก่อนน้ำท่วม ดังนั้นพอโดนน้ำท่วมจึงไม่เป็นอะไร จากนั้นก็ต้องหาข้าวจากนาอื่นมาซ่อมส่วนที่ตายไป 30%  ภาพนี้เป็นข้าวอายุ 20 วันที่รอดตายจากน้ำท่วม ประมาณ 3 รอบ

5.ข้าวส่วนที่ติดถนนจนถึงต้นไม้ช่องแรกในแนวยาว คือพื้นที่ลุ่มและตายเกือบหมด ที่เห็นนี้คือข้าวที่เอามาซ่อมด้วยการปักดำ

6.ข้าวอายุเกือบครบ 3 เดือน  ลมแรงมาก ยอดข้าวพลิ้วไปตามลม  ปีนี้คุมระดับน้ำในแปลงนาได้ค่อนข้างดี ส่วนที่ควบคุมน้ำได้ไม่ค่อยมีวัชพืชเกิด ส่วนที่เป็นนาดอนอยู่รอบๆ ตามมุมแปลงนา ไม่ค่อยโดนน้ำก็จะมีหญ้าและผักบุ้งเติบโตงอกงาม ทำให้ต้องออกแรงถอนกันเลยทีเดียว

7.ข้าวอายุ 4 เดือน เริ่มออกรวง อย่างสวยงาม รอการเก็บเกี่ยวต่อไป

แม้เริ่มต้นดูเหมือนดี เตรียมพร้อมทุกสรรพสิ่ง

ชีวิตจริง ธรรมชาติมิอาจคาดเดา บันดาลฝนและน้ำท่วมขังข้าวนา

เผื่อพิสูจน์ว่าต้นกล้าของพระแม่โพสพจะเข้มแข็ง ผ่านพ้นบททดสอบของพระแม่ธรณีได้หรือไม่

ในความแน่นอนก็มีความไม่แน่นอน บางต้นก็ตายบางต้นก็รอด

ชาวนาผู้ปลูกข้าว จะทำฉันใด เมื่อข้าวตายไปก็ต้องแก้ไขหนา

ประคับประคองต้นที่รอดให้เติบโหญ่ ปลูกแทนใหม่ส่วนที่ตายให้คืนกลับดังเดิม

ชาวนา ต้นข้าว สายลม แสงแดด แม่น้ำ อากาศ ต่างช่วยเหลือ พึ่งพิงกันและกัน

บางยามธรรมชาติก็ทำร้ายเรา บางคราวเราก็ทำร้ายธรรมชาติ

บางเพลาทั้งเราและธรรมชาติต่างเกื้อกูลกันและกันเพื่อสร้างสรรคุณค่าให้แผ่นดิน

ชีวิตมันก็มีทั้งทุกข์ สุข อุปสรรค หวากหนาม ผสมกันอยู่ร่ำไป

เมื่อมีทุกข์ มันจะไม่อยู่กับเราตลอดไป เมื่อมีสุขมันก็ไม่จีรังตลอดกาล

แล้วเราแล้วท่านเล่า จะเลือกใช้ชีวิตในรูปแบบใด

แล้วพบกันตอนต่อไปค่ะ

https://www.facebook.com/dreamforestfarm/


อาชีพทางเลือก

$
0
0
หมวดหมู่ของบล็อก: 

ห่างหายไประยะนึง อยู่กับช่วงความโศกเศร้ากับการจากไปของ พระเจ้าแผ่นดิน รัชกาลที่9 ของปวงชนชาวไทย ความรู้สึกคงไม่แตกต่างกันสำหรับพี่น้องคนไทย นอกเหนือจากความเศร้าโศก เสียใจ ยังคงมีสิ่งนึงที่เชื่อว่า เกิดขึ้นในใจของทุกคน เราจะดำเนินรอยตามความดี ความวิริยะ อุตสาหะ ของในหลวง เราจะน้อมนำแนวทางตามพระราชดำริ แนวทางของความพอเพียงมาใช้ในชีวิต เพื่อเป็นการตอบแทน การทุ่มเทพระวรกายของพระองค์ท่านตลอด 70 ปี ให้พระองค์เป็นสุขในสวรรคาลัย. 

ช่วงที่ผ่านมา มีอะไรเพิ่มเติม เปลี่ยนแปลงไปบ้าง จะมาแบ่งปันให้ชมค่ะ ไก่ไข่ 150 ตัว อายุ 1 เดือนกว่าๆ เติบโตได้ดี ตอนนี้ กิน นอน กิน นอน หลังจากหลังขดหลังแข็ง เทพื้นปูนเอง ล้อมตาข่ายขยายคอกให้กว้าง ได้วิ่งเล่นกันสบายใจ อาจจะเป็นอาชีพใหม่ในไม่ช้า ก็ไม่แน่555 

มะนาว ที่เพิ่งฟื้นตัว หลังจากแคงเกอร์ กินงอมแงม ตัดกิ่งทิ้งไปเกือบหมด กะว่าไม่ดีขึ้น จะขุดทิ้งหามาปลูกใหม่ ดีนะ งามขึ้นมาทันที

แต่ก็มีที่ยังไม่ฟื้นตัวดีเท่าไหร่ 2 - 3 ต้น

ฝรั่งที่น่าจะเป็นกิมจู ของแม่ หลังจากได้ปุ๋ยขี้ไก่ ปุ๋ยสูตร ผสมกันไป งอกงามผิดตามากทีเดียว สังเกตหญ้าก็จะรกมากเช่นกัน ไม่ยอมให้ใครเอายามาฉีด ตัดไม่ไหว ยังไม่มีเวลา ก็ปล่อยไว้ก่อนเลยรกอย่างนี้แหละ

ถั่วพลู จากต้นกะจิ้ด ยอดเรี่ยอยู่แถวพื้นดิน เติบโตขึ้น คาดว่าจะได้กิน เพราะออกดอกแล้ว หลังจากรอดจากหอยทากมาได้ อย่างหวุดหวิด เป็นผักที่เราชอบกิน เป็นอย่างมาก สำหรับถั่วฝักยาว ไม่รอดจากหอยทาก จาก เจ้าตูบคุ้ยโคนต้น จากเพลี้ย หนอน ไม่มีใบเหลือแล้ว คาดว่าจะต้องลงใหม่อีกสักครั้ง และจะเตรียมการ ให้ดีกว่าที่ผ่านมา ส่วนถั่วครก พันธ์อึด เติบโตเลี้อย เป็นรั้วไปทั่ว ดีมากๆ

สมาชิกใหม่ หวังว่าคงจะได้ช่วยเฝ้าบ้านอย่างดี

เห็ดโคน พอหาแถวบ้านได้กิน โคกเห็ดข้างเคียงที่เคยได้หลายกิโล เจ้าของที่คนใหม่รื้อด้วยรถแบกโฮแทบไม่เหลือ สภาพแวดล้อมป่า ถูกทำลาย ของป่าที่เคยได้กินหายไป หวังว่าป่ารอบๆบ้านแห่งเดียวที่ยังพอเหลืออยู่ จะได้กินเห็ดเพิ่มขึ้นในอนาคต

ยังมีภาระกิจอีกมาก ปลูกต้นไม้ ปรับปรุงแปลงผัก จริงๆจัง อีกมาก ให้มีภูมิทัศน์ ที่ดูแล้วเป็นระเบียบ เรียบร้อย ทำพื้นปูนคอกนอนไก่ ไม่ให้เป็นดินเพราะจะสะสมเชื้อโรค แล้วยังเตรียมไถที่ จากไร่มันสำปะหลัง เป็นที่ปลูกกล้วย มะละกอ ประมาณ 1 ไร่

บ้านสวนแห่งนี้คือที่แบ่งปัน เรื่องราว ความรู้จากเพี่อนๆเพื่อนๆสมาชิก เราจะเดินไปพร้อมๆกันบนเส้นทางความพอเพียงและมีความสุข ในใจ ขอบคุณทุกท่านที่เป็นกำลังใจให้ค่ะ^^

 

 

 

ปลูกพืชบนคันนา

$
0
0
หมวดหมู่ของบล็อก: 

สวัสดีพี่น้องชาวบ้านสวนพอเพียงอีกครั้งครับ หลังจากที่ผมได้เขียนบล็อกล่าสุดเกี่ยวกับการปรับพื้นที่นาข้าวเพื่อทำเป็นระบบเกษตรแบบโคกหนองนาโมเดล ไปก่อนหน้านั้น ถึงตอนนี้จะขอนำผลการดำเนินการในส่วนของ โคก หรือที่ผมเรียกว่า การปลูกพืชบนคันนา มาแบ่งปันให้พี่น้องบ้านสวนได้ชมกันครับ ก่อนชมภาพปัจจุบัน ขอเกริ่นด้วยภาพอดีตเพื่อให้เห็นความเปลี่ยนแปลงกันก่อนครับ

จากอดีตจนถึง สิ้น ปี 2558 ก่อนจะเริ่มทำระบบโคกหนองนา คันนามีขนาดเล็กใช้ประโยชน์แค่กั้นน้ำไว้ใช้ยามทำนา

และใช้เดินสำรวจตรวจแปลงนา

พ่อกับแม่ปั้นคันนาด้วยจอบ กว้างเต็มที่ 1เมตร สูง 50 เซนติเมตร

ปั้นคันนาด้วยจอบยาวตลอดแนว

ในฤดูฝนน้ำท่วมคันนา เซาะคันนาขาด ต้นข้าวสูงท่วมจนมองแทบไม่เห็นคันนา ที่สำคัญปลูกพืชอาหารอื่นๆก็ไม่ได้

จนกระทั่งเดือน มกราคม 2559 ผมได้ปรึกษา พ่อกับแม่ เพื่อขอปรับเปลี่ยนพื้นที่ทำนา ด้วยการใช้ระบบโคกหนองนาโมเดล ตามศาสตร์ของพระราชาที่ถ่ายทอดองค์ความรู้โดย อ.ยักษ์ผ่านสื่ออินเตอร์เนต 

คันนาที่กว้างใหญ่ปลูกพืชสารพัดชนิด พืชนำก็คือหญ้าอาหารสัตว์ พืชผัก ไม้ผล ไม้ยืนต้น

ถั่วพู กะทกรกพันกันนัวเนียคลุมต้นพริก มะเขือแต่ก็ยังมีผลผลิตให้เก็บเกี่ยว

ผักยืนต้นอย่างสะเดาทะวายจากพี่สร้อย(หนูสร้อย)ปลูกก่อนไม้อื่นๆสูงท่วมหัวกำลังออกดอก

กล้วยหินกอใหญ่ยักษ์จากพี่ตุ๊ก

กำลังแทงปลีเครือใหญ่ใช่เล่น

 

ถั่วดาวอินคาฝากกล้วยหินเลี้ยงให้ร่มเงาสุดท้ายเขาต้องอยู่ด้วยกันตลอดไปเพราะเลื้อยพันรอบกอซะแล้ว

ต้นกล้วยน้ำว้าและหญ้าอาหารสัตว์ปลูกไว้ตลอดแนวคันนา

ฟัก แฟง น้ำเต้า อย่าให้ขาด

น้ำเต้างวงช้างเพิ่งได้โอกาสเพาะมาปลูก ถั่วฝักยาวเริ่มแยกพื้นที่ หมากก็มีตลอดแนวคันนา

ไม้ผล ยืนต้นโตช้า ขนุนแดงสุริยาปลูกไกลเพื่อนคงจะเหงา เลยเอามันเทศมาลงไว้เป็นเพื่อน

ทางเข้าเอามันเทศญี่ปุ่นมาคุมและมีเผือกหอมมาสมทบ ใครจะอยู่ใครจะไป

มันเหน็บ ก็ไม่ยอมแพ้ เลื้อยพันทุกอย่างที่ขวางหน้า

ต้นเลียบจากลุงเสินท่าทางจะชอบน้ำและแสงแดดแดนอีสานนะนี่

มะละกอ ดกๆรอชิมเมื่อสุกจะหวานแค่ไหนนะ ที่ 1 จากการประกวดของ จังหวัดสกลนคร

ไผ่กิมซุ่ง อนาคตต้องการใช้ ปลูกไว้ 3 กอ

มีที่ว่างอีกเยอะฝนนี้ปลูกได้แค่ 50 % ปลูกไปเรื่อยๆตราบที่มีแรงกายแรงใจ 

พืชผักและต้นไม้อีกหลายชนิดที่ยังไม่ได้มาลงบล็อกในคราวนี้ ไว้ผมมาลงให้ชมในวันหลังนะครับ

"พอเพียง คือพอดี"

ขอบคุณครับ

ตลาดของต้นกฤษณา

การจัดการร้าน ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง

$
0
0
หมวดหมู่ของบล็อก: 

การจัดการร้าน

ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง

        หลายท่านคงเคยเห็นและศึกษาหลักปรัชญาดังกล่าวมาบ้างไม่มากก็น้อย และหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงนี้ คงไม่เพียงแต่ใช้ได้กับภาคการเกษตรแต่เพียงอย่างเดียว ยังสามารถปรับใช้ได้กับภาคอื่นๆ ได้อีก เช่น ธุรกิจส่วนตัว หรือการจัดการร้านค้า ซึ่งผมเองก็นำเอาหลักการนี้ มาจัดการร้านของตนเองตั้งแต่ต้นมาจนถึงปัจจุบัน อยากให้กัลยาณมิตร เพื่อนๆ ลองอ่าน และพิจารณาดูว่า มีความเหมาะสมหรือสมควรแก้ไขปรับปรุงอะไร ตรงไหน อย่างไรบ้าง

        สำหรับผมเองซึ่งเป็นเจ้าของกิจการหรือ มีกิจการส่วนตัวเล็ก ๆ ที่ต้องคอยดูแลและปรับปรุงแก้ไขอยู่ตลอดเวลา เป็นร้านค้าเล็ก ๆ ที่มีความมุ่งมั่นและตั้งใจไว้ตั้งแต่ต้นแล้วว่า “อยากให้เป็นศูนย์เทคโนโลยีเพื่อการศึกษาและนำพาความรู้สู่ชุมชน”   ซึ่งภายในร้านเล็ก ๆ ของผมนั้นประกอบไปด้วยเครื่องเขียนจำนวนหนึ่ง  เครื่องคอมพร้อมด้วยอุปกรณ์เสริมจำนวนหนึ่ง  เครื่องใช้สำนักงาน  ปริ้นเตอร์ เครื่องถ่ายเอกสาร เครื่องแฟ็กซ์ เครื่องเคลือบบัตร   และเครื่องมือติดต่อสื่อสาร คือโทรศัพท์ ซิม(เลขหมาย) บัตรเติมเงิน เติมเงินแบบออนไลน์และแบบหยอดตู้ 3 เครือข่าย (A.T.D) อีกจำนวนหนึ่ง

        ซึ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ก็มีอยู่อย่างละไม่มากนัก เพียงต้องการให้มีครบทุกอย่าง  โดยเน้นการจัดการร้านตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ที่ว่า" 3 ห่วง(หลัก) 2 เงื่อนไข(ความรู้,คุณธรรม) นำไปสู่ 4 มิติ(เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม)"แต่ผมคงไม่ลงลึกในรายละเอียดอะไรมากนักและมิติต่าง ๆ ก็คงไม่ต้องพูดถึงเช่นกัน

 

หลักความพอประมาณ

        1.สินค้าที่นำมามาขายต้องเป็นที่ “ต้องการ”และ “จำเป็น”จริง ๆ

          โดยคำนึงถึงผู้บริโภคเป็นหลัก เช่น โทรศัพท์ผมก็เน้นพื้นฐานของชุมชนซึ่งเป็นชาวไร่ชาวนา คือ โทรศัพท์ที่นำมาขายต้องทน  ราคาต้องถูก  การโทร(โปร)ซิม ก็ต้องถูก และที่สำคัญสัญญาณต้องดีตามด้วย(คุณค่าแท้)  ส่วนอุปกรณ์เสริมเครื่องโทรศัพท์ เช่นปลอกใส่ หูฟัง แผ่นเคลือบหน้าจอ เป็นต้น ผมถือว่าไม่มีความจำเป็นและไม่เป็นที่ต้องการอย่างแท้จริง (คุณค่าเทียม) จึงนำมาขายเพียงนิดหน่อย

        เครื่องเขียนเช่น กระดาษ สมุด ดินสอ ปากกา ของบริษัทไหนดี ราคาเป็นอย่างไร คุณภาพของบริษัทไหนดีกว่ากัน ต้องพิจารณาเปรียบเทียบหลาย ๆ ด้าน ก่อนที่จะนำมาขายและที่สำคัญราคาต้องไม่แพงจนเกินไปนัก ผู้ปกครองของเด็กนักเรียนพอรับไหว

       2.สิ่งใด “ทำได้”ไม่ต้องหาซื้อ

        สิ่งที่เราสามารถทำเองได้ ประหยัดเงินด้วย เช่น โต๊ะวางคอมพิวเตอร์ ชั้นวางของ ชั้นวางกระดาษเครื่องเขียน เป็นต้น ผมจะเน้นที่ความทน  สะดวกต่อการเคลื่อนย้าย ทำเองได้  เพราะโต๊ะคอมที่หาซื้อตามตลาดหนึ่งปีก็เริ่มพังแล้ว ทำเองด้วยเหล็กกล่อง ได้ความทนและอายุการใช้งานที่เพิ่มมากขึ้นหลายปี ถึงแม้ไม้อัดที่ใช้ปูจะเสื่อมหรือเริ่มผุกร่อนแล้ว แต่โครงเหล็กก็ยังอยู่ สามารถเปลี่ยนเอาไม้ใหม่มาใส่แทนของเก่าได้  โดยดัดแปลงและหาข้อมูลการทำจากเว็บ  ICT.in.th  เพิ่มเติม หรือท่านใดสนใจอาจหาข้อมูลอื่น ๆ เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์เพิ่มเติมได้เช่นกัน ชั้นวางของชั้นวางกระดาษ โฟมก็ทำเองด้วยเหล็กกล่องและปูด้วยไม้อัดเช่นกัน ใส่ล้อเคลื่อยย้ายได้สะดวก พื้นไม่เสีย

         3.ร้านเล็กคอมที่ใช้ต้องไม่เกิน ๑๐ เครื่อง

          ที่ร้านมุ่งเน้นให้เยาวชนและชาวบ้านใช้คอมเพื่อการศึกษาไม่ได้เน้นให้เล่นเกม คอมที่ให้บริการมีเพียง 7 เครื่องเท่านั้น ใช้โปรแกรมแฮนดีคาเฟ่คุมการคิดเงินและการเข้าเว็บของผู้ใช้บริการ  และแต่ละเครื่องสามารถปริ้นงานออกปริ้นเตอร์และเครื่องถ่ายเอกสารผ่านเครื่องแม่ที่ใช้คุมได้ทุกเครื่อง ไม่ลงเกมไม่สนับสนุนให้เล่นเกม  แต่ก็อนุโลมให้เล่นได้บ้างตามความเหมาะสมของวัย  ผู้ใช้งานส่วนใหญ่จะเป็นเด็กโต นักเรียนระดับมัธยมและอุดมศึกษาเป็นหลัก  อุปกรณ์เสริมคอมเช่น คีย์บอร์ด เม้าส์ หูฟัง ซีดีรอม เพาเวอร์ซัพพลาย ก็ไม่เกินอย่างละ 3 ชิ้นนอกจากพอประมาณแล้วยังสร้างภูมิคุ้มกันไปในตัวด้วย

        4.ปิดไฟเครื่องคอม เครื่องใช้ไฟฟ้าทุกครั้ง ที่ไม่ได้ใช้งาน

        สำหรับผมแล้วเห็นว่าความพอประมาณกับการประหยัดจะอยู่ในหมวดหมู่เดียวกัน เราประหยัดได้มากเราก็มีความประมาณได้มากเช่นกัน  ไม่มองข้ามสิ่งเล็กน้อย  บางท่านอาจมองว่าการเปิดหน้าจอทิ้งไว้ เปิดเครื่องคอมทิ้งไว้  เครื่องถ่ายเอกสารหรือปริ้นเตอร์ทิ้งไว้  ขณะที่ไม่มีผู้ใช้งานไม่มีความสำคัญ นั่นคือการมองข้ามสิ่งเล็กน้อย  หยดน้ำฝนเพียงเล็กน้อยก่อให้เกิดเป็นแม่น้ำในมหาสมุทรได้  สิ่งเล็กน้อยทำให้เราสิ้นเปลืองแบบมองไม่เห็นได้ เศรษฐีหลายท่านยกเอาความประหยัดมาเป็นนโยบายก็มาก  หากเราประมาทสิ่งเล็กน้อยก็ไม่อาจทำให้เกิดความประมาณได้ ดังนั้น “ประมาณ” กับ “ประหยัด” จึงเปรียบเสมือนเป็นพี่น้องกัน ทิ้งกันไม่ได้

     5.ใช้กระดาษถ่ายเอกสารทั้งสองด้าน ไม่ซื้อของมากักตุนเกิน 3 โหล

        ทางร้านต้องบริหารเงินลงทุนในหลายด้าน การซื้อของมาเก็บกักตุนเอาไว้เกินความจำเป็นจึงไม่เข้าหลักความพอประมาณ  ไม่เกิดประโยชน์เท่าที่ควร  ของที่ตุนได้ต้องอยู่ใน 20:80 ของสินค้าที่ขายดีมาก  เช่น สมุด กระดาษA4  แพ็คละ 20 เป็นต้น กระดาษถ่ายเอกสารก็ไม่ซื้อมาเกิน 2+2 กล่อง(20 รีม บาง 2 หนา 2) กระดาษถ่ายเอกสารที่ถ่ายเสียแล้ว ผมจะแยกออกเป็นกล่องเก็บ  2 กล่อง คือ กล่องที่ถ่ายเสียหน้าเดียว และกล่องที่ถ่ายเสีย 2 หน้า เพื่อสามารถคัดแยก นำกลับเอาหน้าดีไปใช้อีกครั้งหนึ่ง เช่น  การปริ้นตัวหนังสือเพื่อเอามาแปะตัดสติ๊กเกอร์  การนำเอาไปเขียนรายการสั่งซื้อของ  การนำไปเขียนหนังสือหรือเขียนงานต่าง ๆ เอาไปทำเป็นสมุดโน๊ตเล่มเล็ก ๆ ให้เด็กจดบันทึกหน้าคอม  เอาไปทำสมุดบัญชีรับ-จ่าย ประจำวัน ส่วนที่เสีย 2 หน้าก็จะนำไปตัดใช้เขียนติดราคาเอาไว้ตรงที่ใช้ม้วนกระดาษนั้น ถ้าเสียหรือเลอะมาก ๆ ก็ให้แม่เอาไปฝากคนรับซื้อของเก่า เป็นต้น

 

หลักความมีเหตุผล

        1.ตรวจเช็คคอม เครื่องใช้สำนักงาน อยู่เสมอ 

         การสังเกตดูเครื่องคอม เครื่องใช้สำนักงานว่ามีความผิดปกติอะไรบ้าง  เช่น อาการบลูสกรีนของคอมบางเครื่องที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ ว่าสาเหตุมาจากอะไร  ควรแก้ไขอย่างไร เป็นต้น  ก่อนที่ผมจะเปิดร้านครั้งแรก ต้องลงทุนเสียสละเวลาไปเรียนเพิ่มในหลักสูตรการซ่อมและประกอบคอมพิวเตอร์ และการติดตั้งระบบปฏิบัติการ  โปรแกรมใช้งานต่างๆ ที่ศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงานจังหวัดอุตรดิตถ์  60 ชั่วโมงในวันเสาร์อาทิตย์  และที่วิทยาลัยสารพัดช่างอุตรดิตถ์หลักสูตรระยะสั้น 1 เดือนอีก  75 ชั่วโมง เพื่อรองรับกับการแก้ไขปัญหาคอมพิวเตอร์พื้นฐาน  หากเราต้องจ้างเขามาแก้ไขปัญหาให้ทุกครั้งคงไม่ทันการ สิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ  เราใช้คอมเป็นเราต้องซ่อมเป็นบ้าง โดยเฉพาะเราอยู่ชนบทไกลความเจริญมากหาช่างก็ยาก กว่าเขาจะมาซ่อมให้เราได้

        การตรวจเช็คเครื่องคอม เครื่องใช้สำนักงานอยู่ตลอดเวลาจึงเป็นสิ่งที่ควรทำยามว่าง เป็นการไม่ประมาท ไม่ทำให้เสียเวลาขาดรายได้ที่เราควรจะได้

       2.ใช้งานเครื่องคอม เครื่องใช้สำนักงานให้เกิดประโยชน์สูงสุด 

        เครื่องใช้สำนักงานเครื่องคอมมีอายุการใช้งานกำกับมาแล้วจากผู้ผลิต  หากเราไม่คำนึงถืงการใช้งานให้เกิดประโยชน์สูงสุด เครื่องของเราก็จะไม่คุ้มกับค่าเงินที่เราต้องลงทุนซื้อหามาด้วยราคาที่สุดแสนจะแพงเอามาก ๆ ผมถ่ายเอกสารแผ่นละ 2 บาท (A4 หน้า-หลัง) ใครจะว่าแพงก็ไม่ว่ากัน เพราะผมต้องลงทุนซื้อเครื่องถ่ายมาราคา 5 หมื่น 5 พันบาท  เพื่อมาให้บริการและก็คิดว่าอีกไม่นานมันก็จะเสียแต่ก่อนจะเสียเราจะต้องได้ทุนคืนและกำไรนิดหน่อย  เน็ตผมก็เก็บค่าบริการชั่วโมงละ 20 บาท(ปัจจุบัน 15) ใครว่าแพงไม่เล่นเราก็ไม่ว่ากัน ส่วนหนึ่งก็เพื่อป้องกันการเล่นเกม  ส่วนหนึ่งก็เพื่อค่าใช้จ่ายรายเดือน และค่าความเสื่อมของเครื่องคอมที่เราลงทุนไป การเก็บชั่วโมงละ 15 บาทสำหรับร้านผมคงไม่แพงจนเกินไปสำหรับคนที่เข้าใจ

        รับแฟ๊กซ์ คิดแผ่นละ 20 บาท ส่งแฟ็กซ์ทางไกลแผ่นแรกคิด 25 ต่อไปแผ่นละ 10 บาท ส่งใกล้ แผ่นแรก 20 ต่อไป แผ่นละ 10 บาท นี่ถือว่าเป็นราคากลางที่ถือว่าเหมาะสมที่สุดแล้ว เพราะเราก็ต้องเสียค่าโทรศัพท์ประจำทุกเดือนเช่นกัน

        3.ใช้งานเครื่องใช้สำนักงานตามคู่มือแนะนำ 

         ปัจจุบันเครื่องใช้ไฟฟ้า หรือเครื่องใช้สำนักงานต่างก็มีคู่มือติดมาให้ทุกเครื่อง  แต่เราในฐานะคนใช้ ต่างก็ไม่ค่อยจะสนใจเปิดอ่านกันก่อนที่จะใช้งาน  มีปัญหาอะไรนิดหน่อยก็แก้ไขไม่ได้  ส่งช่างอย่างเดียว โดยเฉพาะเครื่องถ่ายเอกสารที่มีวิธีการถ่ายที่หลากหลายรูปแบบมาก ถ้าหากคนใช้งานไม่อ่านไม่ศึกษาวิธีการใช้ให้ละเอียดแล้ว  ย่อมน่าเสียดายว่าคุณยังไม่รู้และไม่เข้าใจวิธีถ่ายเอกสารอีกหลายอย่างมาก ๆ เลยทีเดียว

        เครื่องเคลือบบัตร ไม่ควรหมุนวอลุมให้สูงขึ้น ก่อนเปิดสวิชไฟ และเวลาใช้งานแล้วก็ไม่ควรรีบปิดสวิชไฟ  ควรปิดวอลุมระดับไฟลงให้สุดก่อน นี่ก็อีกตัวอย่างหนึ่งที่เห็นใช้งานกันผิดและสามารถเกิดอันตรายต่อเครื่องได้ หรืออาจลืมปิดไฟจนเกิดแสงไฟแดงๆ ร้อนระอุ จนทำให้เกิดไฟไหม้ได้ เราจึงควรศึกษาการใช้งานให้เข้าใจให้ดีก่อน

        4.สินค้า อุปกรณ์ต่าง ๆ คำนึงถึง “คุณค่า” มากกว่า “มูลค่า” 

        อาจใช้คำว่า “คุณภาพ” แทนคำว่า “คุณค่า” ก็ได้  ของบางอย่างราคา(มูลค่า) ถูก แต่คุณภาพหรือคุณค่าสูง  บางอย่างราคาถูกและคุณค่าก็ต่ำด้วย  ของบางอย่างราคาแพง แต่คุณภาพของสินค้าไม่ได้เรื่องก็มี  เช่นของที่วางขายกันตามตลาดนัดซึ่งมีราคาที่ไม่ต่างจากร้านในเมืองสักเท่าไหร่ แต่คุณภาพหรือคุณค่าของสิ่งนั้น กลับด้อยเอามาก ๆ  ก็มี  หลายท่านอาจเคยเดินเลือกซื้อและนำเอามาใช้กัน อยู่ต่อมาอีกไม่กี่วันก็พังใช้ไม่ได้เสียแล้วยกตัวอย่าง ใบมีดโกนขนนก ที่ผมซื้อมาใช้งาน ทั้งกล่องปลอมขึ้นสนิมทุกใบ  การคัดเลือกสิ่งของอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่นำมาขายจึงพิถีพิถันกันมากสักหน่อย การซื้อของส่วนใหญ่ผมจะไปคัดเลือกหาซื้อมาจากในเมืองด้วยตนเอง  จนบางครั้งหรือหลายครั้งที่เด็กขายของและคนคิดเงินในร้านต้องหัวเสียหรือเสียอารมณ์ไปกับผม (คงคิดว่า “ตาบ้าขี้ถี่” เป็นแน่..ฮา) 

       5.จัดวางสินค้าให้เป็นระเบียบเรียบร้อย  ติดราคาทุกชิ้นให้เห็นชัดเจน

        การจัดวางสินค้าให้เป็นระเบียบเรียบร้อยนั้นเป็นสิ่งสำคัญ โดยประยุกต์หลักการ 5 ส.มาใช้ในการจัดวาง “หยิบก็ง่าย หายก็รู้ ดูก็งามตา” ของสิ่งไหนที่กำลังจะหมด หรือหมดแล้วเราก็รู้ก็เห็นได้โดยง่าย ของใหม่จัดไว้ด้านในของเก่าเอาไว้ด้านนอก เพราะของเก่าที่ขายไม่ออกอาจหมดอายุเร็วกว่า และ

        เป็นที่แน่นอนอยู่แล้วว่าเรื่องราคาของสินค้านั้น ต้องติดให้เห็นเด่นชัด ชัดเจน ต่อผู้มาเดินเลือกซื้อของ เราจะมองเห็นตามห้างหรือร้านใหญ่ ๆ ในเมืองต่างก็ติดป้ายราคากำกับแขวนลอยโชว์กันเอาไว้ ว่าลดราคากี่เปอร์เซ็นต์ ราคาเท่าไหร่ ของอื่น ๆ  เช่น ในเซเว่นก็จะมีราคาบอกกำกับเอาไว้บนชั้นทุกอย่าง เพื่อให้ลูกค้าหรือคนซื้อได้ตัดสินใจเลือกเอาตามความเหมาะสม ตามที่เงินในกระเป๋าของเขาจะพอซื้อได้  ร้านผมเองก็มีแนวคิดเดียวกันโดยผมคิดว่า เวลาที่ผมไม่อยู่ไปธุระที่ไหนสักแห่ง เกิดมีคนอื่น(ญาติ)มาเปิดร้านขายแทนหรือทำงานแทนเรา  เขาก็จะได้รู้ราคาว่าสิ้นค้าที่ลูกค้ามาซื้อนั้น เราติดราคาคิดราคาไว้เท่าไหร่  เขาก็ขายแทนให้โดยสะดวกใจและก็ไม่ขาดทุน  การติดราคาเอาไว้อย่างชัดเจนจึงมีความสำคัญเป็นอย่างมากเช่นกัน

 

หลักการมีภูมิคุ้มกัน

        1.ไม่กู้เงินจากภายนอก “นอกระบบ” มาลงทุน

          การค้าขายเป็นธรรมดาว่าเราต้องลงทุน เมื่อเราเริ่มกิจการหรือธุรกิจใหม่ ๆ  สิ่งสำคัญคือ การบริหารการใช้จ่ายเงิน เมื่อเรากู้เงินมาแล้วต้องนำเงินที่กู้มานั้นไปทำในสิ่งที่เราคิดและมุ่งหวังเอาไว้ตั้งแต่แรกให้ได้  ไม่นำไปใช้จ่ายนอกเหนือจากการค้าขายหรือการลงทุน  หากเรานำเงินไปใช้ผิดวัตถุประสงค์แล้ว  ความลำบากใจความทุกข์ใจก็จะตามมา  ยิ่งเป็นเงินนอกระบบยิ่งมีความเสี่ยงตามมามาก อาจถึงกับเสียชีวิตได้  ผมกู้เงินกับสหกรณ์ ที่ตนเองเป็นสมาชิกอยู่ และกู้เงินกับกองทุนหมู้บ้าน(เงินล้าน) มาเสริมการค้าขายของตนเอง  แต่ก็ไม่ได้กู้จำนวนมากอย่างใครเขา  กู้เพียงเพื่อว่าเป็นการสร้างความสะดวกต่อการหมุนการใช้จ่ายเท่านั้น...

       อิณา ทานํ ทุกฺขํ โลเก   “การเป็นหนี้เป็นทุกข์ในโลก”  พระพุทธองค์ตรัสเป็นพุทธสุภาษิตไว้แล้ว  ผมก็เชื่อว่าเป็นอย่างนั้น การเป็นหนี้ไม่ใช่สิ่งที่ดีที่ควรกระทำ หากเรารู้ตัวว่าสุรุ่ยสุร่ายใช้จ่ายเงินเกินตัว ไม่มีวินัยทางการเงิน ควบคุมตนเองไม่ได้ ทางที่ดีอย่าสร้างหนี้ดีกว่า  แต่ผมก็สร้างภูมิคุ้มกันไว้แล้ว  โดยทุกวันจะเก็บเป็นเงินฝากออมเอาไว้วันละ 300 บาท ที่เหลือนอกจากนั้น ก็จะเก็บเพื่อเป็นทุนหมุนเวียนการค้าขายซื้อของในเวลาต่อไป  การเป็นหนี้เพียงหนึ่งหมื่นสองหมื่น จึงไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวจนเกินไปนัก 

        2.สะสมเงินแบบ “ปลวกสร้างรัง”มั่นคงยั่งยืน

         หลักการนี้ก็คล้ายกับที่ผมเขียนมาข้อแรกนั้นแหละ  เดิมทีผมก็เก็บเป็นเงินฝากเพียงวันละ 100 บาทเท่านั้น  เดือนละ 3 พันบาท ต่อมาจึงมาฝากเพิ่มเป็นค่ากับข้าวอีก 100 บาท เพราะผมกินเก่งกระเพาะใหญ่(ฮา)  ต้องจ่ายค่าข้าวค่ากับข้าวเดือนละหลายร้อยบาท  ตอนนี้เก็บออมวันละ 300 บาท การเก็บเงินเดือนละนิดละหน่อยไม่ใช่เรื่องยาก สิ่งที่ยากก็คือ “ทำอย่างไรให้เก็บต่อเนื่องทุกวัน”  ถ้าวันไหนไม่ได้ฝากวันต่อไปก็ต้องฝากเพิ่มขึ้นอีก 300 จนเป็นนิสัย  การทำให้เป็นนิสัยเรียกว่า “วินัย”  การรักษาวินัยนี่แหละยากมากกว่าครับ

        กว่าผมจะก้าวมาได้จนมีบ้านหลังเล็ก ๆ(ร้านค้า)เป็นของตนเอง (ที่เห็นดังภาพ) จากวันนั้นถึงวันนี้  ปีเต็ม ย่างเข้าปี 7 แล้ว) เครื่องเขียน เครื่องคอม และเครื่องมือสื่อสาร เป็นของตนเองได้ขนาดนี้ 

        เริ่มแรกผมขอยืมเงินแม่ซื้อเครื่องคอมและเครื่องปริ้นหนึ่งชุด  โดยมีฐานคิดว่ามีคอมกับเครื่องปริ้นอย่างละหนึ่งตัวทำอะไรได้บ้าง?(บ้านหลังเก่า)... จากนั้นก็เพิ่มเป็นคอม 3 เครื่อง เครื่องปริ้นหนึ่งชุดต่ออินเทอร์เน็ตบริการให้กับเด็กนักเรียน พร้อมกับรับพิมพ์งาน ปริ้นงาน ซ่อมคอม ประกอบคอมขาย ต่อมาถึงได้มากู้เงิน(ครั้งแรก)มาสร้างบ้าน(ร้าน)เป็นของตนเอง  ขยับขยายและเพิ่มเติมวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ เพิ่มขึ้นทีละนิดทีละหน่อย โดยไม่ได้กู้เงินธนาคารมาลงทุนซื้อของเลย  เก็บเงินจากรายได้และกำไรจากการขายของได้มาเท่าไหร่  ผมก็นำไปซื้อของมาเข้าร้านจนหมดทุ่มจนสุดตัว เป็นไงก็เป็นกัน ไม่กังวลเรื่องความเสี่ยงเลย ลุยอย่างเดียว  เพิ่งมาเริ่มกู้เมื่อสมัครเป็นสมาชิกสหกรณ์การเษตร และจดทะเบียนพาณิชย์ในปี 2553 นี่เอง ได้เงินมาก็นำมาซื้อคอมเพิ่มเติม หมุนเวียนอย่างนี้มาเรื่อย ๆ ตอนนี้ร้านผมเริ่มเข้าที่เข้าทางแล้ว และไม่ได้กู้เงินจากสหกรณ์ฯแล้ว  ผมก็ทำธุรกิจแบบ “ปลวกสร้างรัง” ที่พระพุทธเจ้าสอนนั่นแหละ  ป้องกันความเสี่ยง และมั่นคงยั่งยืน  

       3.สินค้าราคาสูงต้องมี “ผู้สั่ง” จึงนำมา “ส่ง”ให้

        การค้าขายอีกอย่างหนึ่งที่ผมป้องกันความเสี่ยงไว้ก็คือ สินค้าที่มีราคาสูงเช่น คอมพิวเตอร์หนึ่งเครื่อง ราคาก็ตกประมาณหนึ่งหมื่นกว่าบาท ผมจะไม่นำคอมที่ประกอบแล้วหรือสำเร็จรูปแล้วมาวางโชว์ขายหน้าร้าน  แต่จะมีการประชาสัมพันธ์บอกกันแบบปากต่อปากว่า..ถ้าคนไหนสนใจอยากซื้อหรืออยากได้คอมตั้งโต๊ะ  โน๊ต บุ๊ก  หรืออุปกรณ์อื่น ๆ ที่ยิ่งกว่าที่ขายหรือโชว์ไว้หน้าร้าน ก็ขอให้สั่งจองได้  โดยดูราคาตามหน้าเว็บที่ตนเองสั่งของประจำอยู่ บวกกับค่าแรงประกอบและค่าขนส่งประมาณเท่านั้นบาท  เสร็จแล้วก็จะขอเงินมัดจำครึ่งหนึ่งก่อน  เพื่อนำไปซื้อของ  ถ้าไม่จ่ายมัดจำก็จะไม่สั่งของให้ โดยเราป้องกันความเสี่ยงต่อการที่ต้องซื้อของมาแล้วขายไม่ได้  ราคาก็จะตกลงไปเรื่อย ๆ นานวันเข้าก็จำเป็นต้องขายต่ำกว่าราคา จะทำให้เกิดการขาดทุนได้  เพื่อเป็นหลักการมีภูมิคุ้มกันจึงต้องทำแบบนี้  สินค้าเครื่องสื่อสารโทรศัพท์ อื่น ๆ ที่มีราคาสูงมาก ๆ ก็เช่นเดียวกันครับ

       4.มีการจัดทำ ­บัญชี รายรับ – รายจ่ายในแต่ละวัน แต่ละเดือน และคำนวณรอบปีภาษี

        หลักการมีภูมิคุ้มกันหรือการป้องกันความเสี่ยงอีกประการหนึ่งที่ขาดไม่ได้ของการค้าขายคือ.. การทำบัญชี รายรับ รายจ่าย ให้รอบคอบรัดกุม โดยผมจะจดบันทึกรายรับ รายจ่ายในแต่ละวัน นำกระดาษถ่ายเอกสารที่เสียหน้าเดียวมาพิมพ์เป็นสมุดบัญชี ชื่อ “ภูมิปัญญาทางบัญชี สร้างวิถีสู่อนาคต”  เพื่อเช็ครายรับ รายจ่าย และปิดยอดการขายในแต่ละวัน เพื่อให้รู้ว่าวันนี้รับเท่าไหร่ จ่ายเท่าไหร่ เงินทุนเท่าไหร่ และเงินที่รับสุทธิเท่าไหร่  การทำบัญชีไม่เฉพาะแต่ร้านค้าเท่านั้น  ยังมีบัญชีคุมเงินรายรับรายจ่ายทั้งหมดของร้านอีกเล่มหนึ่ง  และบัญชีการใช้จ่ายภายในครัวเรือนของตนเองอีกเล่มหนึ่งด้วย 

        การเขียนบัญชีรายรับ รายจ่าย  หากเราเขียนให้ละเอียดชัดเจนรู้ความเคลื่อนไหวของเงินที่เข้า ออกจากกระเป๋าของเราได้อย่างดีแล้ว  ย่อมทำให้เราเกิดความรอบคอบในการจับจ่าย  รู้ว่าสิ่งไหนซื้อแล้วเกิดประโยชน์ และรู้ว่าสิ่งไหนไม่ควรซื้อไม่เกิดประโยชน์  ทำให้เกิดเป็นคนที่รู้จักเห็นคุณค่าของเงิน เห็นประโยชน์ของการเก็บออมเงิน การจัดทำและจดบันทึกบัญชีรับจ่ายจึงมีประโยชน์และมีความสำคัญเป็นอย่างมาก..ลองทำดูก็ได้ครับ

        5.ภายในร้าน สะอาด  สว่าง  สงบ

        หลักการมีภูมิคุ้มกันข้อนี้ ก็เพื่อทำให้ลูกค้าเห็นถึงความเจริญของเจ้าของร้าน แม้ว่าร้านจะยังไม่ได้ปูพื้นกระเบื้องก็ตาม(ปูเสื่อน้ำมัน)  ให้เห็นพัฒนาการ อุปนิสัย ความมีระเบียบวินัย เป็นการสอนเยาวชนลูกค้าไปในตัว..   สะอาด คือ ต้องทำความสะอาดสิ่งของที่นำมาขาย ตู้ใส่ของ พื้นบ้าน บริเวณบ้าน ต้องได้รับการทำความสะอาด เช็ดถูอยู่ทุกวัน จนปราศจากฝุ่นและพาหะของเชื้อโรค..  สว่าง คือ มีแสงสว่างเพียงพอต่อการทำงาน  พิมพ์งาน  เปิดหน้าต่างทุกบาน รับลมรับแสงสว่างจากภายนอกรอบด้าน อยู่ด้านนอกสามารถมองเข้ามาเห็นภายในร้านได้ดี..  สงบ คือ ปราศจากเสียงรบกวน ไม่ส่งเสียงดังรบกวนเพื่อนหรือคนที่นั่งเล่นคอมอยู่ข้าง ๆ  ดังได้คนเดียว คือเจ้าของร้าน ลูกค้าห้ามดัง..(ฮา)

        6.ปลอดบุหรี่  สิ่งเสพติด การพนัน

        ข้อนี้ ก็ถือว่าสำคัญและสำคัญมากเสียด้วย รองรับนโยบายของรัฐบาลที่กำลังจ้องมองร้านคอมฯอยู่ว่าก่อผลเสียต่อสังคมส่วนใหญ่  มองอะไรด้านเดียวมันก็เสียหมดแหละ  เจ้าของร้านไม่สูบบุหรี่ ไม่เล่นการพนัน ไม่กินยาบ้า กินแต่ “กาบ้า” (เขาว่าบำรุงสมอง) เท่านั้น  จึงเป็นหลักประกันให้ลูกหลานของชาวบ้านที่มาเล่นคอม มาทำงานได้เป็นอย่างดีว่า ร้านนี้ปลอดจากบุหรี่  ยาบ้า และการพนันขันต่อทุกรูปแบบ ขอให้มั่นใจได้   เป็นหลักการมีภูมิคุ้มกันให้กับทางร้านได้ว่า ทางวัฒนธรรมจังหวัด เจ้าหน้าที่ตำรวจจะมาตรวจตอนไหนก็เชิญมาตรวจสอบได้ ไม่กลัว เพราะเราไม่ได้ทำผิดอะไร...

หลักการใหญ่ ๆ ทั้ง 3 ก็ประมาณที่กล่าวมานี้...

 

2 เงื่อนไข

“1...เงื่อนไขความรู้”

ประเด็นเกี่ยวกับเงื่อนไขความรู้ ผมคงไม่ต้องชี้แจงแถลงไขอะไรมากหรอกนะครับ

      1.รอบรู้เรื่องสินค้าที่นำมาวางจำหน่าย เช่น โทรศัพท์ อุปกรณ์พ่วง เครื่องเขียน

       2.เรียนรู้วิธีแก้ไขปัญหาคอม เครื่องใช้สำนักงาน การสั่งของ รับของ ส่งของ

       3.เรียนรู้วิธีใช้งานโปรแกรมสำคัญ ๆ ที่เกี่ยวข้อง เวิร์ด เอ๊กเซล เพาเวอร์พ้อย โฟโต้ช็อฟ โฟโต้สเคฟฯลฯ

       4.เรียนรู้วิธีใช้งานเครื่องใช้สำนักงานอย่างละเอียด การรับ-ส่งข้อมูลให้ลูกค้า

       5.เรียนรู้วิธีการจัดทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย รายวัน เดือน และสรุปรอบปี 

       6.รู้และปฏิบัติตามกฎระเบียบของทางราชการ การแจ้งภาษี พ.ร.บ.ภาพยนตร์และวีดิทัศน์..เวลาเปิด ปิดร้าน

 

“2...เงื่อนไขคุณธรรม”

คุณธรรมที่ทางร้านมุ่งเน้นและให้ความสำคัญอันดับต้น ๆ เลย และจะขาดเสียไม่ได้ คือ

     1.ซื่อสัตย์ สุจริต

       จริงใจต่อลูกค้าและคู่ค้า คิดเงินผิด ลืมของเอาไว้ ทุกอย่างทุกชิ้นจะนำคืนเจ้าของเดิมหมดไม่ยึดหรือถือเอามาเป็นของตัวเอง  สินค้าที่ผมไปหาซื้อมาจากร้านใหญ่ในเมืองบางครั้งก็ขาด บางครั้งก็เกินมา ถ้าไม่ครบผมก็ทวงจะเช็คของทุกครั้งเมื่อมาถึงบ้าน(ร้าน) ถ้าเกินมาผมก็จะโทรบอกทางร้านใหญ่ให้เขาทราบว่ามีอะไรเกินมาบ้าง ราคาเท่าไหร่  วันหน้าเมื่อมีโอกาสเข้าไปซื้อของอีกก็จะนำเงินไปใช้ให้เขา  แต่ของทางเราก็เก็บเอาไว้ไม่เอาไปคืน

     2.ขยัน  ประหยัด  

        ผมเปิดร้านทุกวัน เปิด 7.00 น. ปิด 20.00 น.ทุกวัน วันหนึ่งทำงาน 13 ชั่วโมงแต่งานก็ไม่ลำบากอะไร  ส่วนเรื่องการประหยัดนั้นก็เป็นหลักการมีภูมิคุ้มกันอยู่แล้ว ใช้เงินไปกับสิ่งที่เป็นประโยชน์   ถ้าไม่เกิดประโยชน์ก็ไม่ใช้  ไม่สุรุ่ยสุร่าย หรือจ่ายไปกับอบายมุข ก็ประหยัดแล้วครับ

     3.อดทน  อดกลั้น 

        ผมเคยอ่านหนังสือนวนิยายเรื่อง “ร้อยป่า” ที่พระเอกชื่อ “เสือ กลิ่นสัก” เมื่อครั้งยังเป็นวัยรุ่นเรียนหนังสืออยู่  จดจำคำกล่าวของพระเอกที่พูดว่า  “ความอดทนเป็นสิ่งขมขื่น  แต่ผลของมันหวานชื่นนัก”  นำมาเป็นคติเตือนตนเองมาจนถึงปัจจุบันนี้  คนเราส่วนใหญ่ได้ดีเพราะความอดทน อดกลั้น พ่อค้าก็ต้องอดทนต่อคำพูด คำส่อเสียดของลูกค้า(บางคน)คู่ค้า(ลูกจ้าง) ให้ได้  อดทนหรือรู้จักรอวันที่จะมีเงินมากๆ (เพื่อนำไปลงทุนด้านอื่นๆ) ถ้าอดทนได้ รอได้ ก็จะได้รับแต่ความหวานชื่นเช่นกัน

     4.ใช้สติ ปัญญา มาพิจารณาแก้ไขปัญหา 

        อย่าใช้อารมณ์ในขณะทำงาน  เพราะมันจะทำให้งานออกมาได้ไม่ดีเท่าที่ควร  ปัญหามีไว้ให้แก้ ไม่ใช่มีไว้ให้กลุ้ม เวลามีปัญหา คนส่วนใหญ่มักไม่ถามถึงสาเหตุของปัญหา แต่จะทิ้งปัญหาไปหรือโทษนั่นโทษนี่  โดยลืมนึกถามย้อนกลับไปว่า  ทำไมถึงเสีย  เสียเพราะอะไร  เสียแล้วจะแก้ไขอย่างไร  ยกตัวอย่างเช่น เครื่องปริ้นท์ ปริ้นท์สีไม่ออก แล้วก็บอกว่า เครื่องปริ้นท์เสีย โดยลืมตรวจเช็คเรื่องหัวจ่ายหมึก ตลับหมึก หมึกหมด หรือการทำความสะอาดหัวพิมพ์แบบธรรมดาและแบบละเอียด  เหล่านี้เป็นต้น  สติปัญญา จึงสำคัญมากต่อการประกอบอาชีพค้าขายหรือการทำธุรกิจส่วนตัวเป็นอย่างมาก

     5.แบ่งปัน  ช่วยเหลือสังคม 

       บ้านผมเป็นชุมชนบ้านนอก ถึงแม้จะเป็นหมู่บ้านใหญ่ก็ตาม ใครมีเรื่องราวอะไร ทำดี ทำชั่ว รู้ทั่วถึงกันหมด  เข้าไปในตลาดสดก็จะรู้ข่าวการเป็น การตาย การแต่ง การแข่งเลือกตั้งฯลฯ ในเวลาอันรวดเร็วแบบปากต่อปาก 

        หมู่บ้านมีงานอะไรทางร้านก็จะให้ความช่วยเหลือทุกงาน  ออกพรรษาก็เป็นโฆษกนำหน้าขบวนตักบาตรเทโวบ้าง ช่วยเก็บของบ้าง  เดือนยี่เป็ง(วันเพ็ญเดือนสิบสอง)มอบเงินสมทบกัณฑ์เทศน์  เงินสมทบซื้อของสอยดาวและไปเป็นคนเชียร์รำวงย้อนยุคงานกัณฑ์เทศน์กลุ่มพ่อบ้านแม่บ้าน-หนุ่มสาว  ปีใหม่แข่งกีฬาสีก็ร่วมเป็นผู้สนับสนุน  วันเด็กก็มอบเครื่องเขียนเป็นของขวัญให้โรงเรียน ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก  แต่งงานก็ไปเป็นพิธีกรและผูกข้อต่อแขนให้  บวชพระก็ไปโกนหัวนาคร่วมถวายขันผ้าไตรเป็นโฆษกให้  งานศพก็ไปเป็นเจ้าภาพสวดพระอภิธรรม ใส่ซองทำบุญกับเจ้าภาพ และไปเป็นพิธีกรงานฌาปนกิจหน้าเมรุให้อีกด้วย   

        สรุปว่ามีส่วนร่วมเกือบทุกงาน ยกเว้น งานเกิดลูกครับ ฮะ ฮะ ฮ่า...

*********

 

แถมท้าย

ข้อความน่าคิด

...

        ในหนังสือวิชาเศรษฐีที่เขียนโดย พังฮยอนชอล  แปลโดย วิทิยา จันทร์พันธ์ หน้าที่ 86-87 กล่าวถึงงานเขียนเรื่อง วิธีสู่ความร่ำรวย ของ  พอล เก็ตตี อดีตมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของสหรัฐอเมริกา  เอาไว้ 10 ประการ คือ

        ข้อหนึ่ง       ควรเริ่มทำธุรกิจในสาขาที่ตัวเองรู้ดี

        ข้อสอง       ต้องผลิตของที่ดี บริการประทับใจลูกค้าและขายถูกกว่าตลาด

        ข้อสาม       รู้จักการประหยัด

        ข้อสี่          อย่าพลาดโอกาสในการขยายธุรกิจ

        ข้อห้า        มีความสนใจต่อคำว่า “ธุรกิจของฉัน”

        ข้อหก       พยายามหาข้อมูล เพื่อปรับปรุงสินค้าและบริการของตนเองให้ดีขึ้นอยู่เสมอ

        ข้อเจ็ด       เตรียมหาวิธีลดความเสี่ยง

        ข้อแปด      หาตลาดที่ยังไม่ถูกบุกเบิกเสมอ

        ข้อเก้า        ต้องรักษาชื่อเสียงของสินค้าและความพยายามของตัวเอง

        ข้อสิบ        ไม่เพียงแค่เรียนรู้วิธีการหาเงิน  ทรัพย์สินหรือความร่ำรวย  แต่ต้องรู้วิธีทำให้คนอื่นบนโลก

                        มีความเป็นอยู่ที่ดีมากขึ้นด้วย

        เมื่อนำมาพิจารณาใคร่ครวญดูแล้วเห็นว่าเข้ากันได้กับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงได้อย่างลงตัวทีเดียว 

        หวังว่า คงจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านบันทึกนี้ และสามารถนำไปพิจารณาปรับใช้กับกิจการส่วนตัวหรือธุรกิจของท่านได้ตามความเหมาะสม นะครับผม

 

...........................................

“พี่หนาน”

เขียนเมื่อ  28/5/2558

แก้ไขปรับปรุงเมื่อ   21/12/2559

 

************************************************************

 

เล่าเรื่องข้าว (ตอนจบ)

$
0
0
หมวดหมู่ของบล็อก: 

สวัสดีปีใหม่เพื่อน พี่ น้องสมาชิกทุกท่านนะคะ  ปีที่แล้วดีจังเล่าเรื่องข้าวนาโยนไปแล้ว 3 ตอน ตั้งแต่การเตรียมแปลง การโยนข้าว           ข้าวตอนที่โต ออกรวง  ตอนนี้เป็นตอนสุดท้ายจะเล่าถึงช่วงเก็บเกี่ยวและหลังเก็บเกี่ยว

ที่ไร่สวนฝัน เราแบ่งนาออกเป็น 2 แปลง คือ แปลงขาวหอมมะลิ และแปลงข้าวไรซ์เบอร์รี่ รวม 2 แปลงประมาณ 1.5 ไร่  เริ่มปลูกข้าวหอมมะลิก่อน ปลายเดือน มิย และปลูกไรซ์เบอร์รี่ในเดือน สค ทั้งนี้เพื่อไม่ให้ข้าวออกรวงพร้อมกัน เพื่อป้องกันการผสมเกสรของข้าวสองสายพันธุ์

ข้าวหอมมะลิเริ่มเก็บเกี่ยวในต้นเดือน พย

ในขณะที่ไรซ์เบอร์รี่ ได้เก็บเกี่ยวในปลายเดือน พย

ข้าวหอมมะลิล้ม เพราะต้นค่อนข้างสูง และมีน้ำขังที่โคนต้นบ้างทำให้โคนต้นข้าวไม่แข็งแรง ประกอบกับโดนน้ำท่วมข้าวหลายรอบก่อนเก็บเกี่ยว เลยทำให้ต้นข้าวล้มในที่สุด พอข้าวล้มการเก็บเกี่ยวก็ลำบากมาก และต้องใช้เวลา ในการลุยโคนเพื่อเกี่ยวข้าวทีละรวง คนเเกี่ยวก็สมบุกสมบันกันเลยทีเดียวค่ะ

ส่วนไรซ์เบอร์รี่ต้นไม่สูงมากนัก น้ำไม่ขังแบบข้าวหอมมะลิ เลยทำให้ต้นมีความแข็งแรงกว่า และไม่ล้มการเก็บเกี่ยวก็ง่ายกว่า

อุปกรณ์สำหรับเกี่ยวข้าว เคี่ยวและหมวกจริงต้องมีถุงมือด้วย แต่ไม่ได้ถ่ายมา

เวลาเกี่ยวข้าวเราจะวางข้าวเป็นกองๆ แบบนี้นะคะ เพื่อตาก ส่วนข้าวที่วางขวางก็เพื่อใช้มัดข้าว

ถ้าเหนื่อยเราก็แวะไปพักใต้ต้นไม้ก่อน

หลังตากข้าวไว้ 2-3 วัน พ่อก็จะมามัดข้าวและลำเลียงข้าวไปที่ลานนวดข้าว ด้วยการหาบข้าว หรือขนขึ้นรถกะบะก็มีเหมือนกันค่ะ

จากนั้นก็นวดข้าว หรือตีข้าว ด้วยวิถีธรรมชาติแบบบในภาพนะคะ เพื่อนๆ มาเยี่ยมและลองนวดข้าวกันคนละเล็กน้อย นวดข้าวเสร็จก็แพคใส่กระสอบไปเก็บในยุ้งฉางหรือฝากไว้ที่โรงสี

กระบวนการเก็บเกี่ยวข้าวก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย แต่เรื่องเล่าของข้าวมันยังไม่จบ จริงๆ เรื่องราวมันเริ่มตอนที่เริ่มเกี่ยวข้าวหอมมะลิ

แล้วพบว่าข้าวรวงใหญ่และมีน้ำหนัก ข้าวปีนี้น่าจะได้มากกว่าปีที่แล้วที่โดนนกกินไปเกือบหมด ก็คุยกันในครอบครัวว่าเราจะลองแบ่งขายดูไหม  เพราะเราทำนาแบบเกษตรอินทรีย์ เราอยากแบ่งข้าวของเราให้คนอื่่นได้กินข้าวปลอดภัยแบบที่เรากิน  เลยเริ่มเล่าเรื่องข้าวที่เราปลูกแบบนาโยน และไม่ใช้สารเคมีในการผลิต ให้คนใกล้ตัวฟัง เช่น เพื่อนที่ทำงาน โพสในเฟสบุค และโพสใน line group ก่อนที่จะเกี่ยวข้าวไรซ์เบอร์รี่  ผลปรากฎกว่า มี order เข้ามาเป็น 100 กิโล และเริ่มเยอะขึ้น ตอนนั้นเริ่มสำรวจข้าวที่เราได้ จริงๆ มันไม่ได้มากมายนัก มันแค่มากกว่าปีที่แล้ว ปริมาณข้าวเปลือกที่ได้ก็ 700 กิโลกรัม จากนา 1.5 ไร่ ถ้าคิดเป็นข้าวสารก็ประมาณ 400 กิโลกรัม ถ้าเราขายมากไปกว่านี้ ข้าวอาจไม่พอกิน

แต่ order ก็ยังเขามาเรื่อย และมาจากคนใกล้ชิด ที่จะเอาไปกินเอง และเป็นของฝากเนื่องในวันปีใหม่ จากจุดเริ่มต้นที่แค่จะแบ่งข้าวขาย กลายเป็นต้องขายข้าวจริงจัง แต่ก็กำหนดโควต้าไว้ที่ 200 กก

เราเลยต้องทำโลโก้ คิดแพคเกีจ ทำสลาก หาสถานที่สีข้าวกล้อง และซีลสูญญากาศ ทั้งหมดนี้ทำให้เสร็จโดยใช้เวลา 1 เดือน คือ กลาง พย - กลาง ธค ในลอตแรก และเสร็จภายในวันหยุดปีใหม่ เพื่อส่งลอตที่สอง หลังปีใหม่

แต่ละขั้นตอนล้วนหวุดหวิดทั้งเลยกำหนดบ้าง ร้านสติกเกอร์เกือบปิดบ้าง โรงสีข้าวติดคิวยาวบ้าง ต้องไปซีลข้าวเองบ้างเพราะติดวันหยุด ไม่มีคนทำ เราต้องไปทำเอง ทุกปัญหาสารพันที่เข้ามา ไม่ได้ทำให้ท้อ แต่ทำให้เข้าใจกระบวนการเริ่มขายข้าวถุงมากขึ้น แต่ไม่ว่าขั้นตอนการดำเนินงานของเราจะมีปัญหาอุปสรรคแต่ไหน ก็พยายามให้กระทบลูกค้าน้อยที่สุด โดยต้องเช็คลูกค้าก่อนว่าใครต้องรับก่อนและรับหลังได้ ทะยอยส่งข้าวเป็นล็อต ทั้งก่อนปีใหม่และหลังปีใหม่  และได้พบน้ำใจของใครหลายคนที่หยิบยื่น ช่วยเหลือกันมาในภาวะขับขัน ตั้งแต่น้องที่ทำออกแบบโลโก้ แม้ต้องจ้างแต่เขาก็มีคิวแน่นมาก เขาก็พยายามลัดคิวให้ก่อน แม้จะเลยกำหนดการมาบ้างแต่ก็ยังพอบริหารจัดการได้ นานาคำแนะนำจากเพื่อนๆ และแฟนเพจในการเลือกออกแบบโลโก้ การออกแบบสลากที่ได้เพื่อนของน้องมาช่วยทำให้ภายในเวลาที่จำกัด การหาโรงสีข้าวกล้องที่ได้มาตรฐาน ที่พ่อแม่ ไปหามา ซึ่งก็เป็นโรงสีของอาจารย์ที่นับถือ และเป็นปราชญ์ด้านการเกตร ที่ท่านเปิดบ้านเป็นศูนย์การเรียนรู้ และความมีน้ำใจของท่านที่มาสอนเราซีลถุงข้าว เพราะติดวันหยุดไม่มีคนทำงาน ให้เราใช้สถานที่ฝึกปรือความชำนาญตามสะดวกและคิดค่าใช้จ่ายตามต้นทุนถุงและไฟเท่านั้น เพื่อนๆ และลูกค้าที่น่ารักทุกคน มีการสั่งซื้อซ้ำ และรอแม้บางครั้งจะส่งช้าไปบ้างก็ไม่ว่ากัน

 

 

 

จากจุดเริ่มต้นที่ว่าจะแบ่งข้าวขาย กลายเป็นต้องขายจริงจัง จนข้าวเกือบหมด ทำให้เราปรึกษากันในบ้านว่า สงสัยต้องทำนานอกฤดูเพิ่มเพื่อกินเอง

แต่จะเป็นการทำนาในไร่ ไม่ใช่การทำนาในแปลงนา และจะทดลองปลูกข้าวอย่างอื่นเพิ่มอีก ซึ่งถ้ามีโอกาสและเกิดขึ้นจริงก็คงจะมาเล่าสู่กันฟังในครั้งต่อๆ ไป แต่ที่แน่ๆ ในการทำนาปี ในปีหน้าจะมีการเลี้ยงปลาในนาข้าว และใช้จุลินทรีย์ช่วยมากขึ้น เพื่อเพิ่มผลลิตให้ได้ 1 ตัน ต่อ 1 ไร่ เรื่องเล่าเกี่ยวกับข้าวก็จบด้วยประการฉะนี้ค่ะ

https://www.facebook.com/dreamforestfarm/

@dreamforestfarm

@ไร่สวนฝัน

 

สวัสดีปีใหม่ 2560

$
0
0
หมวดหมู่ของบล็อก: 

สวัสดี ปีใหม่ 2560 สมาชิกบ้านสวนทุกท่าน ขออำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย อวยพร ให้ท่านและครอบครัว มีความสุข ความเจริญ คิดหวังสิ่งใด สมความปารถนา สุขภาพกายใจแข้งแรง ตลอดปีตลอดไปค่ะ

ห่างหายไปพักใหญ่ ปีใหม่ ไม่ได้ไปไหนไกล อยู่บ้าน สังสรรค์กันที่บ้านกับครอบครัว กับเพื่อนเก่าสมัยเรียน ได้เล่าสู่กันฟัง ได้แลกเปลี่ยนกัน ด้านการเกษตร จนรู้สึกว่าเพื่อนเราเปลี่ยนไปมาก ลึกซึ้งกับการเกษตรมากๆอย่างไม่น่าเชื่อ วันนี้ได้ฤกษ์ กลับมาเขียนบล็อกต้อนรับปีใหม่พอดี การงานประจำยังคงเดิม โครงการงานส่วนตัวดำเนินไป แบบช้าๆ ตามศักยภาพและเวลา ที่พอมี ค่อยเป็นไป บางอย่างที่ตั้งใจไว้ ได้ทำบ้าง ไม่ได้ทำบ้าง ตามสถานการณ์สภาพแวดล้อม ที่เปลียนแปลง ตลอดเวลา ไม่อยากเร่งรีบ ไม่อยากกดดันตัวเอง ก็อดี ไปอีกแบบ ได้มีเวลาคิด วางแผน รอบคอบ

ตอนนี้โครงการไก่ไข่ 150 ตัว กำลังเติบโตด้วยดี   มีป่วยตายบ้าง เนื่องจากฤดูฝนที่ผ่านมาชุกมาก และเจอกับหนาว ดูแลกันให้ยา กันเต็มที่เพื่อ เตรียมพร้อมกับการออกไข่ในต้นเดือนหน้า ได้ขยายพื้นที่เล้าออกไป โดยการล้อมตาข่าย เพื่อให้ไม่แออัดอยู่แต่ในเล้า ได้เดินคุ้ยเขี่ยวิ่งเล่นตามสัญชาติญาน แก้เครียด ดูแล้วไก่มีความสุขดีค่ะ

ไก่ไข่ของแม่ รุ่นสอง 50 ตัวทยอยออกไข่ตอนนี้30 กว่าฟองทุกวัน

พื้นที่ประมาณ 1 ไร่ เพิ่งจะได้ไถ พรวน เนื่องจากที่บ้านเพิ่งขุดมันสำปะหลังไป ส่วนด้านข้างๆตอนนี้กำลังตัดอ้อย เข้าโรงานน้ำตาล  ที่ตรงนี้วางแผนไว้สำหรับ ลงกล้วย มะละกอ ฝรั่ง มะกรูด มะนาว ฯลฯ ตอนนี้ กำลังวางแผนเรื่องสำคัญ คือระบบการให้น้ำ ซึ่งจะต้องง่าย ประหยัด ไม่ลงทุนมาก และสามารถให้คนที่บ้านช่วยดูแลได้ไม่ยุ่งยาก เพราะประสบการณ์ จากมะนาว 80 ต้น ที่ไม่สามารถ ไปต่อได้ ต้องโละทิ้งก็มาจากเรื่องการจัดการน้ำไม่ดี นั่นเอง ครั้งนี้จะต้องคิดรอบคอบ มากขึ้น

ตัวนี้ เฝ้าบ้านให้ เป็นอย่างดี เวลากลับมาทำงาน กทม แต่ต้องมีขนมมาฝากทุกครั้ง อิอิ

พืชผัก ไม่ได้ปลูกเพิ่มเนื่องจากยังไม่มีเวลาจัดการหอยทาก หลังากที่กินไปหลายรุ่น เรยพักไว้ก่อน ดูแลแค่ต้นมะนาว กะฝรั่งรอบบ้าน ไว้ทำเรื่องใหญ่ สวนผสม เสร็จค่อยว่ากันอีกที 

สุดท้ายนี้ ขอขอบคุณ พี่น้องบ้านสวนทุกท่าน ที่เป็นกำลังใจให้ตลอดมา เราจะค่อยๆก้าวไปบนเส้นทางพอเพียงแห่งนี้ ร่วมกันค่ะ^^

 

แจกถั่วพูม่วง

$
0
0
หมวดหมู่ของบล็อก: 

ถั่วพูม่วง

รอบนี้ได้ฝักยาว  สีม่วงเข้ม 

ถั่วพูม่วงชอบหน้าหนาว  ป้าเล็กปลูก1ตุลา

เก็บฝักแห้งบ้างแล้ว  ก็อยากแจกให้ผู้สนใจ  5 ท่าน  แจ้งความประสงค์ได้เลยค่ะ  ที่ทำแบบนี้อีก เหมือนที่เคยทำเมื่อ6-7ปีก่อน  เพราะว่าช่วงนี้มีคนโทรมาถามว่า  บ้านสวนแจกเมล็ดมั้ยเดี๋ยวนี้  ก็เลยคิดว่า  ป้าเล็กจะเริ่มแจกอีกครั้งดีกว่าค่ะ  รอพบกับรายการเมล็ดต่อไปนะคะ

084-167-4671  ป้าเล็กค่ะ

ขอบคุณบ้านสวนพอเพียง

 


ทดลองปลูกถั่วพลู

ส่งการบ้านต้นฉิ่ง

$
0
0
หมวดหมู่ของบล็อก: 

 ส่งการบ้านครูแอ๋วต้นลูกฉิ่ง ปลูกเมื่อ 14 ตุลาคม 2558  ในซอกตึก บางใหญ่ นนทบุรี

สนใจจะสมัครเข้าร่วมโครงการ คนกล้าคืนถิ่น จ.พิษณุโลก

คุณหมอมาปลูกต้นไม้

$
0
0
หมวดหมู่ของบล็อก: 

                     บล็อกนี้เขียนขึ้นเพื่อบันทึกความทรงจำ ระหว่างคุณหมอกับอดีตคนป่วย ที่เคยมีแนวคิดเพียงว่าป่วยต้องหาหมอ ต้องกินยาถึงจะหาย คุณหมอเป็นผู้สร้างแรงบันดาลใจปรับเปลี่ยนแนวคิดในการใช้ชีวิต จะเพราะเป็นด้วยความบังเอิญหรือเพราะโชคชะตาที่ทำให้ครอบครัวเราได้มารู้จักกัน เรื่องบางเรื่องเราก็ไม่สามารถอธิบายให้คนอื่นหรือตัวเราเองเข้าใจได้ ทุกอย่างเบื้องบนท่านกำหนดไว้แล้ว   

ครอบครัวคุณหมอเป็นครอบครัวที่รักสัตว์ และชอบปลูกต้นไม้เหมือนกับครอบครัวเรา

วันศุกร์ที่ 24 มีนาคม  2560 คุณหมอพร้อมครอบครัวได้มาปลูกต้นไม้ในสวน

               เป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่ครอบครัวเราทำมาเกือบสิบปีแล้ว เวลาญาติ เพื่อน พี่น้อง ที่เคารพนับถือ มาเยี่ยมชมสวนเรา ต้องปลูกต้นไม้เป็นที่ระลึก เอาไว้ให้คิดถึงกัน

ครอบครัวคุณหมอ ปลูกต้นยางนาไว้ 2 ต้น

               ทุกวันนี้สุขภาพดีขึ้นมาได้เพราะคุณหมอช่วย และช่วยคุณหมอ โรคบางโรคคุณหมอก็ช่วยเราไม่ได้ทั้งหมด ถ้าเราไม่ช่วยตัวเราเองด้วย การช่วยคุณหมอและช่วยตัวเราเองคือการออกกำลังกายค่ะ

              ขอขอบคุณ คุณหมอขอนไม้ นพ.กฤษณดนัย  ตันติเศรษฐ ที่มาดูแลคนอำเภอศรีเมืองใหม่ มาช่วยพัฒนา รพ.ศรีเมืองใหม่ ขอบคุณสำหรับทุก ๆอย่างที่ท่านได้มอบให้กับครอบครัวเล็ก ๆของเรา พบก็เพื่อจาก จากก็เพื่อเจอกันใหม่ คุณหมอมาให้กำลังใจ มาลาเพื่อไปศึกษาต่อแพทย์เฉพาะทาง ขออวยพรให้คุณหมอประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน สุขภาพแข็งแรง มีความสุขความเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไปค่ะ   

 

                                                           โปรดติดตามตอนต่อไป................... 

เยี่ยมบ้าน ที่บุรีรัมย์

$
0
0
หมวดหมู่ของบล็อก: 

สวัสดีค่ะ พี่น้องชาวบ้านสวนพอเพียง ทุกท่าน หนูรักหายไปนาน(เพราะงาน มากมาย) มาวันนี้ ขอพาไปเยี่ยมบ้านแม่ และยาย ที่บุรีรัมย์กันค่ะ ----- แม่กับยาย ทำนา ปลูกข้าว รับประทานเอง ไม่ต้องซื้อ ปลูกไม่มาก แค่พอกิน พอให้ลูกๆบ้าง --- สำหรับลูกๆก็ ผลัดกันมาเยี่ยมท่านทั้งสอง ตามแต่โอกาสอำนวย 

ครั้งนี้ กระเตงน้องมะเหมี่ยว มาด้วยละ ได้วิ่งเล่นกับเพื่อนๆ พร้อมทั้งลงเล่นน้ำ เป็นที่รื่นเริงยิ่ง

ผลงาน ค่ะ ล่าหนู ได้1 ตัว (จะทำอย่างไรดี น๊า กับหนูตัวนี้) ทำไมไม่วิ่งเล่นกับเราล่ะ ลุกขึ้นมาสิ ..... 

เล่น จนหมดแรง เลย ---- หนาวจังค่ะ คุณแม่หนูรัก ไปไหน แล้วล่ะเพื่อน -- ออกไปตามกันไหม ---

ทุ่งนา บ้านแม่ ค่ะ

ยุ้งข้าวของแม่

วันนี้ แม่จะทำอะไร นะ ตามไปดูกันค่ะ

แม่ ได้เครื่องสีข้าว รุ่นประหยัด มาใหม่ เลยจะแสดงฝีมือ ชาวนาเต็มรูปแบบกัน ค่ะ ได้ความรู้เพิ่ม และสนุกด้วย

ขั้นตอนสุดท้าย ต้องยก ให้ผู้ชำนาญการ --- คุณยายคนเก่ง --- วันนี้ได้ข้าวสาร เก็บไว้ กิน พอประมาณ -- เรามีเครื่องสีข้าวเองแล้ว สีครั้งละ พอกิน -- มีความสุขที่สุด ค่ะ

ดอกไม้สวยๆ ค่ะ -- 1.พลับพลึงสีชมพู 2.เทพพนม และ 3.ขิงแดง ตามลำดับ ... ครั้งต่อไป ค่อยเสนอ ดอกไม้ เต็มรูปแบบ (ซึ่ง แม่ จะเลี้ยงกล้วยไม้ และดอกไม้ ได้เก่ง และสวยงาม จริงๆ)

                                     

บ้านแม่ มีผักสวนครัว ครบครัน แต่ที่มาให้ชมวันนี้ เป็นพริกขี้หนู (ต้นใหญ่) กับมะละกอสีทอง -- รับรองได้ว่า ไม่อดทั้งปี พร้อม เป็นของฝากสำหรับแขกผู้มาเยือน ได้ด้วย 

ผลผลิต ที่บ้านแม่ ค่ะ สำหรับลูกๆที่กรุงเทพฯ พร้อม แม่ และยาย (อุดมสมบูรณ์ ในระดับหนึ่ง)  ไม่หรูหรา แต่พวกเรามีความสุข และสนุกทุกครั้ง ที่ได้เข้าสวนบ้านแม่ และฟังคุณยายเล่าเรื่องราวต่างๆที่ผ่านมา อบอุ่น จนไม่อยากกลับ กท.

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------

สุดท้ายนี้ ขอบคุณบ้านสวนพอเพียง และเพื่อนๆสมช.ทุกท่าน ที่ติดตามอ่าน จนจบ พบกัน บล็อคต่อไป และหวังเป็นอย่างยิ่ง จะได้อ่านบล็อค แลกเปลี่ยน กัน กับ เพื่อนๆ ด้วย ---- สวัสดีค่ะ

Viewing all 228 articles
Browse latest View live